เจ้าของอู่รถถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกอ้างเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ขอตรวจสอบฐานข้อมูล ครั้งแรกไม่เชื่อ แต่พอถามไป แล้วตอบกลับถูกต้องทุกอย่าง จริงหลงเชื่อ เลยสูญเงินไปกว่า 1.5 ล้านบาท ตำหนิธนาคารทำงานช้า เข้าถึงยาก แนะพัฒนาใช้ระบบสแกนใบหน้า น่าจะป้องกันได้
สนับสนุนโดย อีซูซุสาขาสวี
โดยกรณีดังกล่าวผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายวีรพันธ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี ชาวอ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ว่า เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม2565 ที่ผ่านมา ขณะที่ตนเองกำลังทำงานอยู่ที่ร้าน ซึ่งเปิดธุรกิจ สามประเภท คือ อู่ซ่อมสีรถยนต์ สถานบริการตรวจสภาพรถเอกชน หรือ ตรอ.และร้านจำหน่ายยางรถยนต์ครบวงจร ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายเพชรเกษม-เนิน 491 แล้วได้มีโทรศัพท์โทรเข้ามา ซึ่งตนเองก็รับสายเพราะคิดว่าเป็นลูกค้า แต่เมื่อรับทางคู่สายได้ บอกว่า โทรมาจากระทรวงพาณิชย์ ต้องการตรวจสอบผู้ประกอบการเพื่ออัพเดตฐานข้อมูล
และได้มีการพูดคุยกับตนเองในเรื่องของธุรกิจที่ตนเองทำอยู่ว่ายังคงทำธุรกิจเป็น ตรอ. เป็นร้านซ่อมรถอยู่หรือไม่ ซึ่งตนเองกลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพเนื่องจากมีข่าวให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ก็ได้มีการสอบถามข้อมูลกับทางมิจฉาชีพ โดยมิจฉาชีพก็สามารถตอบข้อมูลของตนเองได้ถูกต้องครบถ้วน โดยระยะเวลาที่มีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ประมาณ 5-10 นาที ตนเองจึงได้แจ้งไปว่าให้โทรมาช่วงบ่ายเพราะในขณะนี้ตนเองกำลังติดลูกค้าไม่สะดวกคุย
สนับสนุนโดย ร้านเค.เอส.รุ่งเรืองเกษตรภัณฑ์
หลังจากนั้นมิจฉาชีพได้เพิ่มเพื่อนจากแอพพลิเคชันไลน์ เข้ามาพูดคุยพร้อมส่งข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลของบริษัทเข้ามาให้ตรวจสอบว่าข้อมูลนั้นถูกต้องหรือไม่เพื่อต้องอัพเดทข้อมูลของบริษัทใหม่ ซึ่งนายวีรพันธ์กล่าวว่า ข้อมูลที่มิจฉาชีพส่งมาให้ดูผ่านช่องทางไลน์นั้น เป็นข้อมูลที่ถูกต้องทุกอย่าง หลังจากนั้นตนเองก็ได้ตอบกลับไปทางช่องทางไลน์ว่าถูกต้องครับ ต่อมามิจฉาชีพได้ส่งเป็นลิงค์ของกระทรวงพาณิชย์ มีโลโก้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน หลังจากที่มิจฉาชีพส่งเข้ามา ตนเองก็กดลิงค์ทันที หลังจากนั้นหน้าจอโทรศัพท์ก็กลายเป็นสีดำ และมีตัวเลขวิ่งอยู่ที่หน้าจอ ในขณะนั้นตนเองก็มั่นใจแล้วว่าตนเองโดยแฮกข้อมูลและถูกดูดเงินออกจากบัญชีอย่างแน่นอน เพราะมีข้อความเข้าในโทรศัพท์อีกเครื่องว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชี ถึง 3 ครั้ง
โดยยอดแรกนั้นได้โอนเงินออกจากบัญชีของตน ถูกโอนไปยังบัญชีธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชีน.ส.สุพรรณนา เป็นจำนวนเงิน 1,400,000 บาท เวลา 14.05 น ครั้งที่ 2 ถูกโอนไปยังบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.ศิริวรรณ จำนวน 89,000 บาทเวลา 14.07 น. และในครั้งที่ 3 ถูกโอนไปยังบัญชีพร้อมเพย์ ชื่อบัญชี น.ส.สุพรรณษา จำนวนเงิน 47,355 บาท เวลา 14.09 น. โดยแต่ละบัญชีใช้ระยะเวลาห่างกัน 2 นาที
สนับสนุนโดย เพิ่มพูลคาเซ็นเตอร์
นายวีรพันธ์ กล่าวต่อว่า ตนเองรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมพวกมิจฉาชีพพวกนี้ จึงรู้ข้อมูลของตนได้อย่างละเอียด แม้จะถามอะไรไป ก็ตอบได้ถูกต้องหมดทุกอย่าง แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ จะไม่ให้ตนเองหลงเชื่อได้อย่างไร ซึ่งตนมองว่า ข้อมูลดังกล่าว มันอยู่ในระบบของกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ที่จะมี แต่พวกนี้เอามาได้อย่างไร จะไม่ให้คิดว่าได้มาจากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่ได้ ซึ่งความสูญเสียในครั้งนี้เป็นเงินจำนวนมาก
ไม่รู้จะเรียกร้องจากใครได้ ไม่ว่าทางธนาคารที่ยุ่งยาก กว่าจะโทรไปอายัติ ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง ซ้ำเมื่อแจ้งให้ช่วยอายัติ ก็ยังไม่สามารถทำได้ต้องให้ทางตำรวจเท่านั้น ถึงจะดำเนินการได้ ทางตำรวจก็ไม่มีอะไรคืบหน้า
นายวีรพันธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองก็อยากจะฝากเตือนประชาชนทุกคนให้ระวัง อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ แม้ตนเองยอมรับว่าระมัดระวังที่สุดแล้ว ก็ยังหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ จนสูญเงินนับล้านบาท และอยากจะฝากถึงทางธนาคาร น่าจะมีการปรับปรุงระบบการป้องกันให้เท่าทันมิจฉาชีพพวกนี้ อย่างเช่น การโอนเงิน ควรจะใช้ระบบสแกนใบหน้า แต่ไม่ใช่ภาพนิ่ง ให้ใช้เป็นภาพเคลื่อนไหว เพราะเชื่อว่าจะป้องกันได้ และในเบื้องต้นขณะนี้ ตนเอง ป้องกันด้วยการซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ ที่ใช้เฉพาะแอพธนาคารเพื่อใช้เกี่ยวกับธุรกรรมเท่านั้น ไม่โหลดลิงค์ ไม่โหลดไลน์หรือไม่ใช้เฟซบุ๊คและไม่ใช้อินเตอร์ระบบไวไฟแต่อย่างใด และปิดเครื่องเมื่อไม่ใช้และเปิดเมื่อจะโอนทำธุรกรรมเท่านั้น
……………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น