เหิมไม่เกรงกลัวกม.ผญบ.เตือนไม่ฟังรุกป่าต้นน้ำปลูกปาล์ม ป่าไม้หญิงสนธิกำลังซุ่มจับคาหนังคาเขา
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
เหิมไม่เกรงกลัวกฎหมายผญบ.เตือนไม่ฟังหลังรุกป่าต้นน้ำปลูกปาล์ม
ป่าไม้หญิงสนธิกำลังซุ่มจับคาหนังคาเขา
หลังประกันตัวจนท.ตามรอยพบใช้รถไถชักลากไม้ออกนอกพื้นที่ ปลัดอำเภอ-ป่าไม้-ชาวบ้านไม่ยอมโร่ขึ้นโรงพักร้องถอนประกันแจ้งข้อหาเพิ่มลักทรัพย์
เคยถูกจับมาแล้วแต่ยกฟ้องเพราะมีลูกเขยเป็นนายตำรวจเจ้าของคดีจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่
ย่ามใจก่อเหตุซ้ำ
วันที่ 10 ก.ย.67 ที่ศูนย์ประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งระยะ อ.สวี จ.ชุมพร นายบุญก้อง ศรีสงคราม ปลัดอำเภอสวี หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง น.ส.กาญจนา วีระวงศ์ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่
ชุมพร 6 (นาสัก) น.ส.พจนาจ ชมพูพล
นิติกรศูนย์ป่าไม้ชุมพรพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่ไทยอาสาป้องกันชาติ นายอุดม
ช่วยเต็ม กำนันตำบลทุ่งระยะ นายอนุสรณ์
ทิพย์รัตน์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 4 ตำบลทุ่งระยะ นายทรงพล ทองมี
ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน น.ส.อภิสรา
พรหมมาศ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
และชาวบ้านคณะกรรมการป่าชุมชน “พรุระกำหวาน”
โดยทั้งหมดร่วมกันประชุมลงมติเห็นชอบให้รื้อถอนผลอาสิน
ที่มีผู้บุกรุกแผ้วถางเพื่อทำประโยชน์ส่วนตนในพื้นที่ป่าชุมชน “ป่าพรุระกำหวาน”
ซึ่งหลังจากผู้ต้องหาถูกจับกุมและประกันตัวออกมาแต่มีการบุกรุกเข้าข่ายกระทำความผิดซ้ำ
ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน แต่การรื้อถอนยังไม่สามารถทำได้ต้องนำมติเสียงทั้งหมดเข้าประชุมระดับจังหวัดในวันที่
19 ก.ย.นี้ถึงจะเริ่มดำเนินการได้
เวลาต่อมาในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอสวี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย และชาวบ้านคณะกรรมการป่าชุมชนฯ ได้ลงพื้นที่ป่าพรุระกำหวาน ซึ่งอยู่ห่างจากองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งระยะประมาณ 3-4 กิโลเมตร เพื่อสำรวจความเสียหายอีกครั้งหลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าชายวัย 64 ปี ผู้ต้องหาประกันตัว
สนับสนุนโดย เพิ่มพูลคาร์เซ็นเตอร์
แล้วกลับมากระทำความผิดซ้ำ
โดยเจ้าหน้าที่พบว่ามีร่องรอยต้นไม้เพิ่งถูกตัดใหม่อีกจำนวนหนึ่ง และนำต้นกล้าพันธุ์ปาล์มน้ำมันมาปลูก จากการสำรวจยังพบมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดจำนวน
2 ตัว ดูความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่อีกด้วย มีต้นชมพู่น้ำขนาดใหญ่ถูกกันโคนเพื่อให้ยืนต้นทยอยเฉาตายอีกเป็นจำนวนหลายต้น
และร่อยรอยล้อรถไถเข้ามาชักลากไม้ที่ถูกตัดออกไปจากป่าชุมชนเจ้าหน้าที่ป่าไม้และกำลังของผู้นำชุมชนชาวบ้านได้สะกดรอยตามไปประมาณ 100 เมตรพบท่อนไม้ต้นชมพู่น้ำขนาดใหญ่ยาวประมาณ 3-4 เมตรวางอยู่ในสวนปาล์ม
สนับสนุนโดย สวนน้ารวยพันธุ์ไม้
น้ำมันของผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่จึงตามรอยลากไม้ต่อจึงพบอีกท่อนยาวประมาณ
4 เมตร วางอยู่ริมทางของรอยล้อรถ
เจ้าหน้าที่ไม่ลดละตามรอยล้อรถไถจนกระทั่งไปพบรถไถจอดนิ่งอยู่ในโรงรถซึ่งปลูกแยกออกมาจากตัวบ้านพักของผู้ต้องหารายนี้เจ้าหน้าที่ร่วมกับผู้น้ำชุมชนชาวบ้านถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เรียกผู้ต้องหาให้ออกมาพบแต่ไม่มีเสียงตอบรับ
คาดว่าอาจจะเก็บตัวเงียบอยู่ภายในบ้านพักเพราะเจ้าหน้าที่บางคนเห็นผู้ต้องหาก่อนหน้านี้นั่งลับใบเลื่อยยนต์อยู่บริเวณบ้านพัก
น.ส.กาญจนา วีระวงศ์ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ชุมพร 6 (นาสัก) เปิดเผยกรณีจากคดีบุกรุกป่าชุมชนดังกล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ชพ.6 (นาสัก) ส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) ได้รับแจ้งว่ามีการบุกรุกป่า
ชุมชน ป่าพรุระกำหวาน หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งระยะ อ.สวี จ.ชุมพร จึงพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการป่าชุมชนป่าพรุระกำหวานวางแผนเข้าตรวจสอบ พบมีการบุกรุกทำลายป่าฯเพื่อปลูกพืชผลอาสินจำนวน 1 แปลงเนื้อที่
แฟ้มภาพ/จนท.ป่าไม้เข้าตรวจสอบ-จับกุมวันที่ 25 ส.ค.679-3-94 ไร่ พบชาย 1 ราย
อยู่ในที่เกิดเหตุขณะกำลังแผ้วถางไม้โดยใช้มีดพร้า เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเข้าจับกุม
แต่ชายคนดังกล่าวได้วิ่งหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงวิ่งไล่ตามสามารถจับกุมตัวไว้ได้พร้อมของกลางเป็นมีดพร้า
1 ด้าม ไม้กระยาเลยจำนวน 8 ท่อน
ค่าความเสียหายทั้งหมดอยู่ในระหว่างการประเมิน
ตรวจสอบความเสียหายเป็นการบุกรุกแผ้วถางป่าชั้นล่างและบางส่วนมีไม้ใหญ่ถูกโค่นล้มคาตอยังไม่ได้บั่นทอนปลายไม้ และมีการปลูกพืชผลอาสินเป็นปาล์มน้ำมันจำนวน 50 ต้น อายุประมาณ 1-2เดือน จึงได้ทำการจดบันทึกตรวจยึดจับกุมส่งพนักงานสอบสวน สภ.สวีดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยกล่าวหาว่า เป็นการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยป่าไม้
ผิดตาม พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. 2562 มาตรา63(1) ฐานยึดครอง ครอบครอง หรือใช้เป็นที่อยู่อาศัย หรือที่ทำกิน(2) ฐานก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ขุดหาแร่
ล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครอง”
หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ชุมพร 6 (นาสัก) เปิดเผยอีกว่า ป่าชุมชน ป่าพรุระกำหวานมีพื้นที่ประมาณ 137 ไร่ ดูแลโดยกรมป่าไม้ ชาวบ้านผู้นำชุมชน ฝ่ายปกครอง ได้ช่วยกันดูแลและช่วยกันขุดลอกเป็นคลองกั้นแนวพื้นที่ป่าไว้เพื่อ
ตามรอยชักลากไม้
ไม่ให้มีการบุกรุกละเป็นป่าต้นน้ำหัวใจหลักของชุมชนต่อมาได้มีการบุกรุกครั้งแรกเมื่อปี
2562 ต่อมาได้ถูกปล่อยตัวด้วยพยานหลักฐานอ่อน
และมีการบุกรุกต่อเนื่องมาโดยตลอด
ซึ่งใช้วิธีค่อยๆแผ้วถางด้วยเครื่องมือที่มีอยู่เอง จนกระทั่งชาวบ้านร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้วางแผนเข้าจับกุมอีกครั้งซึ่งผู้กระทำความผิดคนเดียวกัน
ด้านผู้ใหญ่บ้าน เผยว่า ผู้ต้องหาเป็นคนในหมู่บ้าน มีสวนปาล์มน้ำมันติดแนวเขตป่าชุมชน เคยว่ากล่าวตักเตือนมาโดยตลอดให้เลิกกระทำความความผิดดังกล่าวแต่เหมือนจะเข้าใจกลับบุกรุกเหมือนเดิมครั้งแรกเมื่อปี 2562 แผ้วถาง
บุกรุกจำนวน 3 ไร่
ถูกเจ้าหน้าที่จับส่งตำรวจดำเนินคดี ขณะนั้นตนเองยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน
แต่พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีสมัยนั้นเป็นลูกเขยผู้ต้องหา
ไม่ทราบว่าเหตุใดศาลจึงยกฟ้องครั้งนั้นรอดมาได้อาจจะย่ามใจจึงไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ชาวบ้านผู้นำชุมชนซึ่งมีส่วนร่วมในการดูแลป่าพรุระกำหวานสุดจะทนถึงพฤติกรรม
ผู้ใหญ่บ้าน
เผยอีกว่า ป่าพรุระกำหวาน เป็นป่าสมบูรณ์มีต้นไม้ใหญ่เช่นต้นสัก ต้นชมพู่น้ำ
อายุนับ 100 ปี
เป็นป่าต้นน้ำและยังเป็นพื้นที่กักเก็บน้ำยามหน้าแล้งให้ชาวบ้านได้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี
ช่วยดูดซับน้ำไม่ให้น้ำท่วม สำหรับผู้ต้องหารับสารภาพในขณะเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุมซึ่งมีคลิปหลักฐานชัดเจน
แต่ทราบว่าปฏิเสธในชั้นพนักงานสอบสวน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ปลัดอำเภอสวี กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านคณะกรรมการป่าชุมชนฯเดินทางออกจากพื้นที่ป่าพรุระกำหวาน ทั้งหมดได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.วิษณุ สุระวดี ผกก.สภ.สวี เพื่อเร่งติดตาม
ณ สภ.สวี
ดำเนินคดีกับตัวผู้ต้องหาบุกรุกป่าฯให้ถึงที่สุด โดยที่น.ส.น.ส.กาญจนา วีระวงศ์ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ชุมพร 6 (นาสัก)นำพยานหลักฐาน แจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาคนดังกล่าวเพื่อในผู้กำกับการสภ.สวี รับเรื่องด้วยตนเอง
ข้อหา ลักทรัพย์ และยื่นร้องเพิกฐานประกันตัวชั่วคราวของผู้ต้องหา
ซึ่งหลังจากประกันออกไปโดยให้เหตุผลพร้อมหลักฐานว่าเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานเกี่ยวกับคดี โดยผู้กำกับการสภ.สวี
พร้อมรับเรื่องไว้และแจ้งต่อผู้ร้องว่าจะรวบรวมพยานหลักฐานหากมีการยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือกระทำความผิดซ้ำก็จะเรียกตัวมารับทราบพร้อมทั้งส่งขอฝากขังต่อศาลทันทีขอให้มั่นใจในขบวนยุติธรรม”
...............................................................
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น