รวมแก๊ง“ขุนเดช”ลอบขนไม้พะยูง มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท จากชายแดนใต้ส่งฝั่งโขง จ.หนองคาย

รุกซ้ำ!จนท.หน่วยป้องกันและรักษาป่าฯจ่อแจ้งความครั้งที่ 4
ผู้ต้องหาตัดไม้ปลูกปาล์มป่าชุมชน “พรุระกำหวาน”แหล่งต้นน้ำ หลังประกันตัว
จนท.บ่นอุบจับจนท้อผู้ต้องหายังไม่รับโทษ จนต้องสนธิกำลังลงสำรวจพื้นที่อีกครั้ง
จากกรณีเมื่อวันที่ 10 ก.ย.67 ที่ผ่านมา น.ส.กาญจนา วีระวงศ์ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ชุมพร 6 (นาสัก)เดินไปที่สภ.สวี อ.สวี จ.ชุมพร เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษชายอายุ 64 ปี ว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ผิดตาม พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. 2562 มาตรา63(1) ฐานยึดครอง ครอบครอง หรือใช้เป็นที่
อยู่อาศัย หรือที่ทำกิน(2) ฐานก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ขุดหาแร่ ล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครอง”จับตัวได้คาหนังคาเขาขณะปลูกพืชผลอาสินจำนวน 1 แปลงเนื้อที่ 9-3-94 ไร่พื้นที่หมู่ 4 ตำบล
ทุ่งระยะ อ.สวี
จ.ชุมพร พร้อมของกลางเป็นมีดพร้า 1
ด้าม ไม้กระยาเลยจำนวน 8 ท่อน
มีต้นชมพู่น้ำขนาดใหญ่ถูกกันโคนเพื่อให้ยืนต้นทยอยเฉาตายอีกเป็นจำนวนหลายต้นค่าความเสียหายทั้งหมดอยู่ในระหว่างการประเมิน
ครั้งนั้นมีนายบุญก้อง ศรีสงคราม ปลัดอำเภอสวี หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง น.ส.พจนาจ ชมพูพล นิติกรศูนย์ป่าไม้ชุมพรพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่ไทยอาสาป้องกันชาติ นายอุดม ช่วยเต็ม กำนันตำบลทุ่งระยะ นายอนุสรณ์
ทิพย์รัตน์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 4 ตำบลทุ่งระยะ นายทรงพล ทองมี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน น.ส.อภิสรา พรหมมาศ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านคณะกรรมการป่าชุมชน “พรุระกำหวาน”ทั้งหมดได้ติดตามไปด้วยเพื่อเร่งรัดคดี ซึ่งก่อนหน้านั้นผู้ต้องหา
ถูกจับกุม
เจ้าหน้าที่ป้องกันและรักษาป่าฯทำหนังสือคัดค้านประกันตัวแต่ไม่เป็นผล
ผู้ต้องหาได้ประกันตัวออกมาและมีการบุกรุกเข้าข่ายกระทำความผิดซ้ำซาก
ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
เนื่องจากเจ้าหน้าที่ติดตามร่องรอยการลากไม้ต่อจึงพบอีกท่อนยาวประมาณ
4 เมตร วางอยู่ริมทางของรอยล้อรถ
เจ้าหน้าที่ไม่ลดละตามรอยล้อรถไถจนกระทั่งไปพบรถไถจอดนิ่งอยู่ในโรงรถซึ่งปลูกแยกออกมาจากตัวบ้านพักของผู้ต้องหารายนี้เจ้าหน้าที่ร่วมกับผู้น้ำชุมชนชาวบ้านถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานและมั่นใจว่ามีพยานหลักฐานเอาผิดผู้กระทำความผิดรายนี้ได้ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ล่าสุดวันนี้(14 มี.ค.)จากคดีดังกล่าว นายอนุสรณ์
ทิพย์รัตน์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 4 ตำบลทุ่งระยะ เผยว่า
ผู้ต้องหารายนี้ได้อาศัยช่วงที่อยู่ในระหว่างประกันตัวสู้คดีได้ก่อเหตุซ้ำโดยเข้ามาในป่าชุมชนพรุระกำหวานพื้นที่ที่ผู้ต้องหาเคยบุกรุกแผ้วถาง
ได้ทำการปลูกต้นกล้าปาล์มเพิ่มและรุกแผ้วถางขยายวงกว้างออกไปตามแนวเก่าที่เคยบุกรุกอีกประมาณกว่า
6 ไร่
ผู้ใหญ่บ้านจึงได้ประสานนายวิชัย สุดสวาสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.)ชุมพรเขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ นายชาติชาย บุญมี นายก อบต.ทุ่งระยะ เดินทางมารับฟังปัญหา พร้อมด้วย น.ส.กาญจนา วีระวงศ์ นักวิชาการป่าไม้
ชำนาญการหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ชุมพร 6 (นาสัก)พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ นายบุญก้อง
ศรีสงคราม ปลัดอำเภอสวี หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง พ.ต.อ.วิษณุ สุระวดี ผกก.สภ.สวี เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สอบสวน
และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องชาวบ้านคณะกรรมการป่าชุมชนร่วมประชุมหารือแก้ไขปัญหาดังกล่าวบริเวณที่อบต.ทุ่งระยะ
ก่อนลงพื้นที่สำรวจการบุกรุกเพิ่มอีกครั้ง
น.ส.กาญจนา วีระวงศ์ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ชุมพร 6 (นาสัก) กล่าวว่า ผู้ต้องหาได้ถูกจับกุมข้อหาบุกรุกป่าฯเมื่อเดือนกันยายน ปี 2567 ส่งตัวให้กับพนักงานสอบสวนสภ.สวี หลังจากได้
ประกันตัวออกมาก็เข้ามากระทำความผิดในพื้นที่ซ้ำอีก
และได้ขยายกระทำผิดแผ้วถางออกไปโดยรอบจากบุกรุกเดิมอีกจำนวน 6 ไร่ พร้อมทั้งปลูกต้นปาล์มเพิ่มขึ้นอีก
ซึ่งผู้ต้องหาอยู่ในระหว่างก่อนการพิจารณาของศาล
หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ชุมพร 6 (นาสัก) กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ต้องหารายนี้เคยถูกจับดำเนินคดี ในข้อหาเดียวกันจำนวน 3 ครั้งตั้งแต่ปี 2563ตรวจพบการบุกรุก ปี 2564สามารถจับกุมตัวผู้กระทำความผิดได้ส่งตัวดำเนินคดี ปี2565 พบการกระทำความผิดอีก และ 2567 จนล่าสุดวันนี้ (14 มี.ค.68) ลงสำรวจพื้นที่ตามที่ผู้ใหญ่บ้านได้แจ้งพบว่ามีการบุกรุกขยายวงออกไปอีก ขณะเดียวกันได้เก็บบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานแล้วพร้อมเดินหน้าแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเป็นครั้งที่ 4
ด้านเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าฯเดินหน้าปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเต็มที่กับผู้กระทำความผิดการแผ้วถางบุกรุกป่าไม่มีการละเว้น ป่าพรุระกำหวาน
เป็นป่าสมบูรณ์มีต้นไม้ใหญ่เช่นต้นสัก ต้นชมพู่น้ำ อายุนับ 100 ปี เป็นป่าต้นน้ำและยังเป็นพื้นที่กักเก็บน้ำยามหน้าแล้งให้ชาวบ้านทั้งตำบลได้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี
ช่วยดูดซับน้ำไม่ให้น้ำท่วม
ขณะเดียวกันระหว่างที่เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ถูกบุกรุกและสำรวจความเสียหายอยู่นั้นผู้ต้องหาที่อยู่ในระหว่างประกันตัวได้เดินเข้ามาหาเจ้าหน้าที่เพราะผู้ต้องหารายนี้มีที่สวนปาล์มน้ำมันติดแนวเขตป่าชุมชนพรุระกำหวานและกำลังตัดผลปาล์มน้ำมันอยู่พอดีเพราะหวงกลัวว่าเจ้าหน้าที่จะตัดทำลายที่ผู้ต้องหาลักลอบปลูกเอาไว้อ้างว่าคดีอยู่ในชั้นศาล
ผู้ต้องหาปฏิเสธโดยบอกว่า
ตนไม่ได้บุกรุกเพิ่มออกไปแต่จะเป็นใครที่บุกรุกตนไม่รู้และเข้ามาปลูกปาล์ม การที่ตนถูกเจ้าหน้าที่แจ้งความจับพื้นที่ป่าที่ถูกตัดนั้นอ้างว่าอยู่ในชั้นศาลไม่ขอพูดอะไร”
ซึ่งการให้การกับเจ้าหน้าที่นั้นผู้ต้องหาพูดแบบแบ่งรับแบ่งสู้
ลักษณะไม่ปฏิเสธหรือไม่รับว่ามีการบุกรุกเพิ่ม
แต่อย่างไรก็ตามด้านเจ้าหน้าที่เผยว่ามีพยานหลักฐานพร้อมเอาผิดได้อีก
แม้ว่าเคยแจ้งความดำเนินคดีมาแล้วถึง 3
ครั้ง ทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมากำลังอยู่ในชั้นศาล และกำลังจะแจ้งความเพิ่มอีกเป็นครั้งที่
4
.....................................................................
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น