ร.ท.ทหารเรือวัยเกษียณ เลือดร้อน ฉุนเพื่อนบ้านยิงผัวเจ็บเมียดับ

ลูกจ้างร้านตู้ซักผ้าหยอดเหรียญแจ้งจับตำรวจยศ ร.ต.อ.พร้อมเมีย สูญเงินกว่า 1 ล้านบาท โดยเมียทำทีตีสนิทบอกอยากเซ้งร้านสานธุรกิจต่อ แต่รอเงินขายบ้านที่ญี่ปุ่น ออกกลอุบายต้องใช้เงินทำเรื่องเดินทางระหว่างประเทศเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินผ่านบัญชีผัวตำรวจและเงินสดกว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกสูญไปกว่า 1 ล้าน โร่แจ้งความดำเนินคดี เพราะไม่อยากให้ไปหลอกใครอีก เดือดร้อนและทุกข์ใจมากทำงานรายวัน วันละแค่ 300 กว่าบาท และต้องใช้หนี้นอกระบบเสียดอกเบี้ยวันละกว่า 3000 บาท
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากหญิงผู้เสียหายวัย อายุ 59 ปี ชาวตำบลตากแดด อ.เมืองชุมพร จ.ชุมพรอาชีพลูกจ้างร้านตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ ว่าถูกสองผัวเมียทำทีตีสนิทก่อนหลอกยืมเงินไปกว่า 1 ล้านบาท
จากนั้นหายไปเลยไม่ยอมชดใช้
หญิงผู้เสียหาย เล่าว่า เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม
ปีที่แล้ว นางขวัญ (นามสมมติ)ได้เดินเข้ามาทำทีนั่งซ่อมมือถือภายในร้านซึ่งให้บริการตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ
ที่ตนทำงานตั้งอยู่ภายในปั๊มน้ำมันตัวเมืองชุมพร ขณะนั้นที่ร้านติดป้ายประกาศให้เซ้ง
นางขวัญได้พูดคุยตีสนิทพร้อมกับบอกว่าตนสนใจจะเซ้งร้าน
และได้คุยกับเจ้าของร้านด้วย
โดยนางขวัญ
ชวนคุยพร้อมกับอ้างว่า ตนมีโรงแรมอยู่ที่ภูเก็ต
มีบ้านพักและร้านยาอยู่ที่นครศรีธรรมราช จากนั้นนางขวัญ
บอกว่ามีบ้านอยู่หนึ่งหลังที่ประเทศญี่ปุ่นเดี๋ยวจะไปขายบ้านในราคา 36 ล้านบาท เพื่อมาลงทุนเซ้งร้านดังกล่าว แต่ไม่มีเงินเป็นค่าเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น
จึงขอยืมเงินของตนเพื่อเป็นค่าเดินทางไปประเทศ ญี่ปุ่น ตนจึงได้ทำการโอนเงินให้ สามีที่เป็นตำรวจติดยศ
ร.ต.อ.สังกัดอยู่ในพื้นที่จังหวัดระนอง ของ นางขวัญ หลายครั้ง ระหว่างวันที่ 2
พ.ย. 67 ถึง วันที่ 23 เม.ย. 68 รวมเป็นเงินจานวน 1,024,700 บาท
ผู้เสียหาย เล่าอีกว่า
หลังจากนั้นได้ทวงถามเรื่องการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเรื่องการขายบ้าน
แต่นางขวัญอ้างต่างๆนานามีปัญหาทุกครั้งขณะกำลังจะเดินทาง
ตนจึงเกิดข้อสงสัยว่าอาจจะถูกหลอกเชิดเงิน จึงปรึกษากันกับเจ้าของร้านซึ่งเป็น 1 ในผู้เสียหาย ที่เอาเงินให้ตนโอนให้สามีนางขวัญและบางครั้งให้เป็นเงินสดด้วย
หลังจากทวงเงินแล้วไม่ได้คืน
ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้เสียหายได้นำเอกสารเป็นสลิปการโอนเงินผ่านแอพธนาคาร เดินทางไปแจ้งความนางขวัญ และสามีที่สภ.เมืองชุมพร เพื่อดำเนินคดีเอาผิดจนกว่าจะถึงที่สุด
ผู้เสียหาย เล่าอีกว่า
จริงแล้วมีผู้เสียหายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 4 ราย รวมถึงอดีตเจ้าของร้านตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ(ปัจจุบันมีรายอื่นเซ้งต่อแล้ว
แต่ผู้เสียหายยังเป็นลูกจ้างอยู่)
แต่การทำธุระโอนเงินและให้ด้วยเงินสดผ่านผู้เสียหายเพียงคนเดียว
จึงเป็นผู้เสียหายคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบเรื่องเงินที่ถูกสองสามีภรรยาหลอกไป
เมื่อสอบถามไปทางสามีที่เป็นตำรวจบอกว่า ตนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
และแยกทางกับภรรยาแล้ว ส่วนนางขวัญ บอกเพียงว่าขอเวลาผัดผ่อนไปก่อน
ผู้เสียหายเล่าถึงความรู้สึกว่า
ตอนนี้เดือดร้อนมากต้องกู้เงินนอกระบบมาใช้หนี้ รวมต้องเสียดอกเบี้ยวันละ 3,750 บาท เจ้าหนี้บางรายก็ไม่ให้ผัดผ่อน
ตนไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร เป็นลูกจ้างร้านซักอบผ้ามีรายได้วันละ 300 กว่าบาทเท่านั้น จนเกิดความกดดันไม่มีทางออกวอนสองผัวเมียหาเงินมาคืนบ้าง”
ผู้เสียหาย เล่าด้วยน้ำเสียงที่หมดหวัง
...........................................................
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น