ญาติร้องรพ.รัฐให้ชี้แจงเหตุปล่อยคนไข้ท้องเสียนอนรอแพทย์นาน 14 ชม.จนทนไม่ไหวเสียชีวิต
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ญาติร้องรพ.รัฐให้ชี้แจงเหตุปล่อยคนไข้ท้องเสียนอนรอแพทย์นาน
14 ชม.จนทนไม่ไหวเสียชีวิต ส่วนรอง ผอ.รพ.ชี้แจงทันที
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 3 พ.ย.66 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนาย ชัยพร กลางนุรักษ์ อายุ 64 ปี อยู่ตำบลบ้านนา อ.เมืองชุมพร จ.ชุมพรว่าภรรยาตนได้เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลของรัฐ หลังจากมีอาการท้องเสียและขาดการดูแล
สนับสนุนโดย อีซูซุสาขาสวี
จากแพทย์ทิ้งให้ผู้ป่วยนอนรอนานกว่า 14 ชั่วโมง จนอาการทรุดและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
โดยร้องให้แพทย์ออกมาชี้แจงถึงสาเหตุที่แท้จริงแต่ยังได้ได้รับคำตอบที่น่าพอใจจึงร้องสื่อเพื่อขอความเป็นธรรม
เวลาต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ศาลาวัดบ้านนา ตำบลบ้านนา อ.เมืองชุมพร จ.ชุมพร ซึ่งเป็นที่ตั้งศพของนางสายตา กลางนุรักษ์ อายุ 62 ปี ผู้เสียชีวิตภรรยาผู้ร้อง พบกับนาย ชัยพรฯ สามี พร้อมด้วยลูกสาวและญาติ โดยนาย ชัยพร
ซึ่งเป็นอดีตพนักงานราชการสรรพากร กล่าวว่า
ภรรยาตนมีอาการท้องเสียเมื่อช่วงหัวค่ำของคืนวันที่ 28
ต.ค.ที่ผ่านมา ตกดึกเวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง คาบเกี่ยวเข้าวันที่ 29 ต.ค.เห็นว่าอาการไม่ทุเลาจึงพาไปเข้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลชุมพรฯ
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเจาะเลือดและให้น้ำเกลือ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 01.30 น.เวรเปลได้นำตัวส่งตึกหมอพรชั้น 4 จนกระทั่งเช้ายังไม่มีหมอเวรมา อาการของภรรยาก็แย่ลงเรื่อยเพราะท้องเสียจนถึงเที่ยง พยาบาลได้เอา
สนับสนุนโดยร้านเค.เอสรุ่งเรืองเกษตรภัณฑ์
ยาพาราให้กินแต่อาการไม่ดีขึ้น จึงตามพยาบาลประมาณ 4-5 ครั้งก็ไม่ได้มาดูแลเพราะพยาบาลแจ้งว่ายังไม่มีหมอ หมอเวรยังไม่มา ขณะนั้นภรรยาแย่มากเริ่มเป็นตะคิวผ่านมาเข้า 13 ชั่วโมงยังไม่ได้อะไรเลย มีอาการขาดน้ำ ท้องเสียรุนแรง ตนเองซึ่งเป็นสามาก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทุกอย่าง พร้อมทั้งร้องขอรถวีลแชร์ไม่สามารถเดินเองได้ แต่เจ้าหน้าที่บอกไม่มี
จนกระทั่งบ่าย 2 โมง ภรรยามีอาการช๊อก ต่อมาได้มีเจ้าหน้าที่หลายคนเข้ามาดูอาการและเข็นเตียงผู้ป่วยจากหน้าลิฟเข้าไปในห้องผู้ป่วยปิดม่าน ซึ่งนายชัยพร ผู้เป็นสามีบอกว่าเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปดูเพราะภรรยาหยุดหายใจ และเจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันปั้มหัวใจ แต่กลับมาหายใจได้อีก 2 นาที ก็หยุดหายใจอีก หลังจากนั้นหมอเวรที่ไม่ใช่หมอเวรชั้น 4 เรียกตัวผู้เป็นสามีเข้าห้องประชุมว่าช่วยภรรยาจนสุดความสามารถแล้ว นาย ชัยพร กล่าวอีกว่า
สิ่งที่ผมติดใจที่สุดอยากรู้ว่า
“ทำไมไม่มีหมอเวร (เสียงเริ่มสะอื้น
จนทำให้ลูกสาวนั่งอยู่ข้างๆเอื้อมมือจับแขนไว้)
หมอเวรไปไหนตั้งแต่ตี 1
ครึ่ง ถึงบ่าย 2 โมง มีแต่พยาบาล ถ้ามีหมอเวรภรรยาคงไม่เสียชีวิต
ติดใจมาก”
นาย ชัยพร ฯ กล่าวอีกว่า
จากเหตุการณ์ทั้งหมด ขอยืนยันว่า
ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาตามขั้นตอนอย่างรวดเร็วและไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ทางการแพทย์อย่างเพียงพอ
จึงส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิต
แพทย์ผู้รับผิดชอบคนไข้ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ตามเวลาที่ควรมา โดยการบอกกล่าวและอ้างว่าเป็นวันหยุด
ขณะที่นาย ชัยพร ฯสามีผู้ตาย พร้อมญาติเดินทางยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร โดยมีนายธนนท์ พรรพีภาส ปลัดจังหวัดชุมพร นายนพพร มีสติ ป้องกันจังหวัดชุมพร เป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียน เพื่อเรียกร้องให้ผู้บริหารโรงพยาบาลชุมพรฯออกมาชี้แจงกรณีดังกล่าวดังนี้ 1.ขอคำชี้แจงการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ทุก
ขั้นตอนในกระบวนการรักษาผู้ป่วยราย
นางสายตา กลางนุรักษ์ 2.ในวัน เวลา
ดังกล่าว แพทย์เจ้าของไข้
หรือแพทย์เวร ทำไมไม่มาปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิต 3.การวินิจฉัยโรคผิดพลาดหรือไม่ การให้ยาไม่ทันเวลา
ส่งผลให้มีการสูญเสียเกิดขึ้นใช่หรือไม่
และ4.แพทย์และเจ้าหน้าที่ละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ต่อคนไข้ใช่หรือไม่”
สนับสนุนโดย อีซูซุสาขาสวี
ต่อมา
ผู้สื่อข่าวได้เข้าพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เพื่อสอบถามจากเหตุการณ์ดังกล่าว
จึงมอบหมายให้ นายแพทย์สัญชัย
นาคะพันธุ์
นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ
รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ ในถานะกำกับดูแลแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยในรพ.ทั้งหมด
ออกมาชี้แจงว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผู้ป่วยที่รอรับเข้ามาดูแลในรพ.เวลาประมาณเที่ยงคืนตีหนึ่ง
คนไข้มีประวัติเดิมคือปวดเมื่อย ไม่สบายมา 2-3 วันแล้วและได้รับการรักษาที่คลินิกมาก่อนแต่อาการไม่ดีขึ้น
มีอาการท้องเสียร่วมด้วย
ฉะนั้นแพทย์ให้นอนโรงพยาบาลเพราะมีอาการป่วยอ่อนเพลีย ตรวจชีพจรไข้ก็ไม่มี
ไม่แน่ใจว่าได้ยาอะไรมาบ้างแล้วจากคลินิกหรือเปล่า ทำให้อาการดูไม่ได้แย่มาก
แต่แพทย์รับไว้ให้น้ำเกลือและสังเกตอาการไว้ในรพ. หลังจากนั้นพยายามตรวจเลือดหาสาเหตุ
ผ่านไปจนถึงวันรุ่งขึ้น แพทย์ในตึกผู้ป่วยก็มาดูคนไข้มีอาการค่อนข้างดี
ยังลุกเดินช่วยเหลือตัวเองเข้าห้องน้ำได้
ได้รับการตรวจและการรักษาแบประคับประคองเพราะยังไม่มีสาเหตุโรคชัดเจนรอดูผลดูอาการ
รองผู้อำนวยการ กล่าวอีกว่า
ปรากฏช่วงเที่ยงวันนั้นผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลง
มีอาการเหนื่อยมากขึ้น ชีพจร ความดัน เปลี่ยนแปลง
แพทย์พยายามหาสาเหตุเพิ่มเช็คเลือด เจาะเลือดเพื่อเอาไปเพาะเชื้อ
มองว่าอาจจะติดเชื้อที่รุนแรงกว่าที่คิดในตอนแรก
หลังจากนั้นผู้ป่วยก็แย่ลง จนแพทย์ที่อยู่ในเวรตัดสินใจใส่ท่อช่วยหายใจ เพราะผู้ป่วยเหนื่อยมากพยายามใส่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนต้องตามอาจารย์สตาฟมาช่วยใส่ท่อใช้เวลาพอสมควรจึงทำให้ผู้ป่วยระหว่างนั้นอายุเยอะเหนื่อยมาก คงไม่ไหว มีความดันตกมาก คนไข้ช๊อกหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ทีมแพทย์ระดมพยายามทำCPR กระตุ้นผู้ป่วยให้กลับ
สนับสนุนโดยเพิ่มพูลคาร์เซ็นเตอร์.
.......................................................................................
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น